กาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ

organo
กาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีมูลค่าการซื้อขายมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากปิโตรเลียม กาแฟในเชิงการค้าที่สำคัญมีอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ กาแฟอาราบิก้า และกาแฟโรบัสต้า โดยปริมาณการผลิตกาแฟของโลกจะมีสัดส่วนของอาราบิก้า : โรบัสต้า ประมาณ 70 : 30 และปริมาณการค้ามีสัดส่วน 65 : 35 ตามลำดับ สำหรับประเทศไทยผลิตกาแฟได้เพียงร้อยละ 1 ของโลก เป็นกาแฟโรบัสต้าถึงร้อยละ 97 และอาราบิก้าเพียงร้อยละ 3เท่านั้น เนื่องจากกาแฟอาราบิก้ามีรสชาติไม่ขมเข้มรุนแรง และกลิ่นหอมนุ่มนวล จึงถือเป็นกาแฟคุณภาพดี ตลาดโลกมีความต้องการสูง ประกอบกับแนวโน้มการบริโภคยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอ ต้องนำเข้าปีหนึ่งๆ ในปริมาณและมูลค่าสูง หากมีการพัฒนาการผลิตกาแฟดังกล่าว เพื่อทดแทนการนำเข้า จะเป็นการประหยัดเงินตราได้มาก
จากการศึกษาพบว่า เมื่อเปรียบเทียบกาแฟกับเครื่องดื่มที่ทำจากพืชอื่น เช่น ชา โกโก้ น้ำผลไม้ และน้ำอัดลม ถือได้ว่ากาแฟเป็นเครื่องดื่มที่คนนิยมบริโภคมากเป็นอันดับหนึ่ง โดยประชากรทั่วโลกจะบริโภคกาแฟไม่ต่ำกว่าวันละ 1,000 ล้านถ้วย สำหรับคนไทยนั้นมีการดื่มกาแฟค่อนข้างน้อย เฉลี่ยประมาณ 90 ถ้วยต่อคนต่อปี อัตราการขยายตัวของตลาดกาแฟไทยประมาณร้อยละ 5 - 7 ต่อปี
วิถีการตลาดกาแฟอาราบิก้าในภาคเหนือของประเทศไทยปี 2544 เกษตรกรจะขาย ผลผลิตให้พ่อค้าท้องถิ่น หน่วยงานพัฒนาที่สูง และพ่อค้าในเมืองร้อยละ 53 31 และ 16 ตามลำดับ สำหรับระบบการปลูกที่เหมาะสมคือ การปลูกกาแฟเป็นพืชเชิงเดี่ยว และความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อกาแฟอาราบิก้าในร้านกาแฟชั้นดี พบว่ามีมากกว่าร้อยละ 80 ผลการศึกษาเหล่านี้น่าจะนำมาพิจารณาสรุปหาแนวทางการพัฒนาการผลิตกาแฟอาราบิก้าต่อไป


1.    ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจในผู้หญิง 25%
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยของสเปนพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟ 2 – 3 แก้วต่อวันมีอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มและผู้ชาย 25%
2.    ลดอัตราเสี่ยงของการเป็นเบาหวาน 60%
กาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระ และยังมีสารประกอบที่เรียกว่า ควินิน (Quinines) ที่ช่วยให้ร่างกายสามารถผลิตอินซูลินได้ดีขึ้น
3.    ลดอัตราการเกิดภาวะความจำเสื่อม 65%
จากการวิจัยพบว่ากาแฟมีส่วนช่วยในการชะลอภาวะความจำเสื่อมโดยไปหยุดยั้งหรือต้านการจับตัวของคอเรสเตอรอล (Cholesterol) ที่เป็นผลเสียต่อร่างกาย
4.    ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ 50%
จากการศึกษาถึง 12 ปีกับผู้หญิงในญี่ปุ่นพบว่าคนที่ดื่มกาแฟ 3 แก้วหรือมากกว่าต่อวันมีแนวโน้มในการลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่
5.    ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
จากการศึกษากับผู้ชายจำนวน 50,000 คนเป็นเวลา 20 ปีพบว่าคนที่ดื่มกาแฟ 6 แก้วต่อวันจะมีอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ดื่ม
6.    ลดความเสี่ยงของการเป็นอัลไซเมอร์ (Alzheimer) 65%
จากการศึกษากับคนวัยกลางคนในประเทศฟินแลนด์จำนวน 1,400 พบว่าคนที่ดื่มกาแฟ 5 ถ้วยต่อวันสามารถลดอัตราเสี่ยงของการเป็นอัลไซเมอร์ 65%
7.    ลดความเสี่ยงของการเป็นตับแข็ง 80%
จากการศึกษากับผู้ดื่มกาแฟจำนวน 125,000 คนพบว่าการดื่มกาแฟ 1 แก้วต่อวันทำให้ความเสี่ยงต่อการเป็นตับแข็งลดลง 20% ถ้าดื่ม 4 แก้วต่อวันจะลดอัตราเสี่ยงได้ 80%
8.    ลดความเสี่ยงของการเป็นนิ่วในถุงน้ำดี 50%
ผู้ชายที่ดื่มกาแฟอย่างน้อย 2 แก้วต่อวันมีแนวโน้มในการลดอัตราเสี่ยงของการเป็นนิ่วในถุงน้ำดี 40%, 25% สำหรับผู้หญิงที่ดื่มกาแฟในปริมาณที่เท่ากัน และ 45% สำหรับคนที่ดื่มมากกว่า 4 แก้วต่อวัน
9.    ลดความเสี่ยงของการเกิดการอุดตันในเส้นเลือดในผู้หญิง 43%
จากการศึกษากับนางพยาบาลจำนวน 83,000 คนที่ไม่เคยสูบบุหรี่และดื่มกาแฟ 4 แก้วต่อวันสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดการอุดตันในเส้นเลือด 43%
10.     ลดความเสี่ยงของการเกิดอาการสั่นของอวัยวะจากระบบปราสาท
11.     ลดอัตราเสี่ยงในการฆ่าตัวตายของผู้หญิง 60%
จากการศึกษาเป็นเวลา 10 ปีกับผู้หญิงจำนวน 86,000 คนพบว่าผู้หญิงที่ดื่มกาแฟ 2 แก้วต่อวันสามารถลดอัตราเสี่ยงในการฆ่าตัวตายของ 60%
12.     กาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยซ่อมแซมเซลต่างๆในร่างกายที่ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ
13.     กาแฟช่วยให้เรารู้สึกไม่ง่วงและตื่นตัว
14.     กาแฟช่วยลดความรู้สึกหนาวได้เนื่องจากคาเฟอีน (caffeine)
15.     ลดการเกิดโรคหืด
16.     ลดอาการปวดหัว บ่อยครั้งที่คาเฟอีน (caffeine) ถูกใช้เป็นยาแก้ปวดหัวโดยเฉพาะอาการปวดหัวจากไมเกรน (migraine)
17.     บรรเทาอาการปวด การดื่มกาแฟ 2 แก้วอาจช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อหลังจากการออกกำลังกายได้ประมาณ 58% ยาแก้ปวดหลายประเภทมีการผสมคาเฟอีน (caffeine) 65 mg เช่น aspirin, ibuprofen, acetaminophen และคาเฟอีน (caffeine) สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ 40%
18.     ช่วยทำให้อารมณ์แจ่มใสขึ้น คาเฟอีน (caffeine) ที่ดื่มเข้าไปจะช่วยคลายความเครียดและทำให้อารมณ์แจ่มใสขึ้น
19.     ช่วยให้ความสามารถทางการกีฬาสูงขึ้น เพราะคาเฟอีน (caffeine) มีฤทธิ์ช่วยเพิ่มความทนทานและประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อ
20.     ป้องกันฟันผุ สารประกอบที่มีชื่อว่า Trigonelline ซึ่งเป็นสารที่ทำให้กาแฟมีกลิ่นหอมและรสขม มีประสิทธิภาพช่วยป้องกันแบคทีเรีย และการก่อตัวของแบคทีเรีย โดยเหตุผลนี้กาแฟจึงช่วยป้องกันฟันผุได้
coffeebenefit-thumbถึงแม้ว่ากาแฟจะมีสารที่มีประโยชน์มากมายแต่สารประกอบบางอย่างที่อยู่ในกาแฟอาจส่งผลกับแต่ละคนต่างกัน ดังนั้นถ้าเกิดเรามีปัญหาท้องเสียกับการดื่มกาแฟ หรืออาการอื่นๆ ก็สามารถดื่มชาแทนได้

กาแฟแต่ละประเภท (Espresso)

ชงกาแฟ espresso

เอสเปรสโซ (อิตาลี: espresso) คือกาแฟที่มีรสแก่และเข้ม ซึ่งมีวิธีการชงโดยใช้แรงอัดไอน้ำหรือน้ำร้อนผ่านเมล็ดกาแฟคั่วที่บดละเอียด ที่มาของชื่อ เอสเปรสโซ มาจากคำภาษาอิตาลี “espresso” แปลว่า เร่งด่วน เอสเปรสโซเป็นกาแฟที่นิยมมากที่สุดในแถบประเทศยุโรปตอนใต้ โดยเฉพาะประเทศอิตาลี การสั่งกาแฟ “caffe” ในร้านโดยทั่วไปก็คือสั่งเอสเปรสโซ เอสเปรสโซถูกผลิตที่อิตาลี เอสเปรสโซมีต้นกำเนิด
espresso perfect
ที่อิตาลีตอนที่อิตาลีล่าเอธิโอเปียมา เป็นอาณานิคมกาแฟก็นำมาปลูกที่อิตาลีส่วนใหญ่ ด้วยวิธีการชงแบบใช้แรงอัด ทำให้เอสเปรสโซมีรสชาติกาแฟซึ่งเข้มข้นและหนักแน่น ต่างจากกาแฟทั่ว ๆ ไปซึ่งชงแบบผ่านน้ำหยด และเพราะรสชาติเข้มข้นและหนักแน่นอันเป็นเอกลักษณ์นี้เอง ทำให้คอกาแฟดื่มเอสเปรสโซโดยไม่ปรุงด้วยน้ำตาลหรือนม และมักจะเสิร์ฟเป็นชอต (แก้วแบบจอก) เพื่อให้ปริมาณไม่มากจนเกินไป (ประมาณ 1-2 ออนซ์ หรือ 30-60มิลลิลิตร แตกต่างตาม พฤติกรรมการดื่ม ของแต่ละประเทศ) การสั่งเอสเปรสโซตามร้านกาแฟทั่วไป มักสั่งตามปริมาณเป็น “ซิงเกิ้ล” หรือ “ดับเบิ้ล” (ชอตเดียว หรือ สองชอต) เอสเปรสโซมีความไวสูงในการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เพื่อไม่ให้เสียรสชาติจึงควรดื่มตอนชงเสร็จใหม่ ๆ
กาแฟ เอสเปรสโซ
ผงกาแฟที่ใช้ ขึ้นอยู่กับแต่ละระบบการชง ระบบการชงแบบแรงดันน้ำ หรือแรงอัด จะต้องใช้ผงละเอียด แต่ไม่ถึงกับเป็นแป้ง (ขนาดของไซด์ผงกาแฟที่บด จะแปรผันตาม ระยะเวลาที่ทำกาแฟ อาทิ เครื่องชงแบบ เอสเปรสโซ่ เวลามาตราฐานอยู่ที่ 18-30 วินาที ก็ต้องใช้ ผงละเอียด แต่หากเป็นการชง ลักษณะอื่นๆ เช่น ชงโดยที่ชงแบบเฟรนช์เพรส ก็ต้องบดให้หยาบขึ้นและระยะเวลาที่ชงก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ
ดื่มกาแฟ espresso กาแฟ เอสเปรสโซ
ในการชงเอสเปรสโซ จะต้องควบคุมปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อรสชาติ อาทิ เมล็ดกาแฟที่ใช้ (สมควรเป็นเมล็ดกาแฟที่คั่ว เก็บมาไม่เกิน 1 เดือน) ,การบดกาแฟ (ขนาดของผงกาแฟที่บด ต้องสัมพันธ์ กับเครื่องชงและระยะเวลาการไหล ของกาแฟ ขณะชง) , น้ำที่ใช้ชงกาแฟ (คุณภาพเป็นน้ำที่ใช้ บริโภค ไม่ควรใช้นำสะอาดบริสุทธิ์ จนเกินไป เพราะ นอกจากไม่ได้รับ สารอาหารที่มากับน้ำแล้วยังมีผลกระทบ ต่อรสชาติ ด้วย)
กาแฟ เอสเปรสโซ
ระยะเวลาในการชง (ดังที่กล่าวไว้ ในข้างต้น หากใช้เวลา การชงเอสเปรสโซ่ตำกว่า 18 วินาที หรือ underextract แสดงว่า การแพคกาแฟ ต่อชอต ไม่แน่นพอ หรือ ปริมาณผงกาแฟในชอต มีน้อยเกินไป หรือ ขนาดผงกาแฟหยาบเกินไป หากการกลั่นกาแฟเอสเปรสโซ่ นานเกินกว่า 30 วินาที จะมีผลทำให้เอสเปรสโซ่ที่ได้ มีรสขม bitter ไม่เข้ม มีกลิ่นไหม้ burn จากการชงแบบเครื่องอัด ศัพท์ฝรั่งเรียก overextract)
กาแฟ เมล็ดกาแฟ

กาแฟประเภทต่างๆ
- Caffé AmericanoCaffé Capuccino
- Caffé Mocha
- Caffé Latte


ประโยชน์-โทษ อย่างไร?


        หลายคนจะดื่มกาแฟในตอนเช้า แทนอาหารเช้าไปเลย แต่บางคนก็ดื่มรอบบ่ายอีก แล้วคุณรู้ไหมว่ากาแฟนั้นสำคัญกับร่างกายมากน้อยแค่ไหน หรือว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพคนเราหรือไม่

         ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมการอย่างแพร่หลายตามปั้มน้ำมัน ตามห้างสรรพสินค้ามีการขายอย่างมากมาย จะเห็นได้ว่ากาแฟเป็นส่วนหนึ่งหรือบางคนอาจจะเป็นส่วนสองส่วนสามของชีวิตประจำวัน แต่จะมีใครกังวลหรือไม่ว่าที่เราดื่มทุกวันวันละหลายแก้วแล้วมันมีโทษ หรือคุณประโยชน์อะไรบ้าง หากคุณเป็นคอกาแฟคุณควรจะอ่านบทความนี้

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟ

         ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟคือ caffeine หรือมีชื่อทางเคมีว่า 1,3,7 trimethylxanthine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของยาขยายหลอดลม theophylline caffeine สามารถพบได้ในหลายชนิดได้แก่ เมล็ดคา เมล็ดกาแฟ ใบชา โคลา caffeine ถูกผสมลงในน้ำอัดลม ยาแก้หวัดบางชนิด ยาแก้ปวด ยาลดน้ำหนัก

         กาแฟจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วหลังจากที่เราดื่มกาแฟและจะถูกขับออกไปครึ่งหนึ่งในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกาแฟจะไม่สะสมในร่างกาย โดยจะถูกทำลายและขับออกหมด ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีการขับถ่ายกาแฟมากกว่าผู้ที่ไม่สูบ ดังนั้นคนที่สูบบุหรี่หากต้องการ การกระตุ้นของกาแฟ จะต้องดื่มกาแฟบ่อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ คนท้องและผู้ที่กินยาคุมกำเนิดจะมีการขับกาแฟน้อยกว่าคนทั่วไป กาแฟจะออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นสมอง ทำให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิ

         ปริมาณ caffeine ที่มีในเครื่องดื่มแต่ละชนิดขึ้นกับความเข้มข้น ตารางข้างล่างเป็นตัวอย่างปริมาณกาแฟ

Milligrams of Caffeine และชนิดของเครื่องดื่ม  
         
         นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าวันหนึ่งๆ เราจะรับสาร caffeine ประมาณ 250-600 มก. ซึ่งไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย

ผลดีของกาแฟ

         กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง สมาธิในการทำงานดีขึ้น ผู้ที่ดื่มกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอน มีสมาธิในการทำงาน และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น และยังลดอาการปวดเมื่อยเนื่องจากไข้หวัด

         ผลต่อสมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น เช่นการขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เล่นกีฬาได้นานขึ้น

         ผลดีของกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอน โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และช่วยลดอุบัติเหตุขณะขับรถ

         กระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันและช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย กาแฟจะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆ ดังนั้นขณะออกกำลังกายหรือหลังออกกำลังกายไม่ควรรับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟ เพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ

ดื่มนานๆ จะติดกาแฟหรือไม่

         องค์การอนามัยโลกกล่าวว่า ไม่มีหลักฐานว่ากาแฟจะเป็นสารซึ่งหากดื่มนานๆ แล้วจะเสพติด การดื่มกาแฟจะเป็นนิสัยมากกว่าเสพติด เนื่องจากไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณของกาแฟ และเมื่อหยุดกาแฟบางคนก็เกิดอาการปวดหรือมึนศีรษะเพียงเล็กน้อย

ผลดีของกาแฟต่อสุขภาพ

         โรคหอบหืด มีรายงานว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้ว จะลดอาการหอบหืด หากดื่มมากกว่า 6 แก้ว การทดสอบสมรรถภาพปอดจะดีขึ้น

         กาแฟก็เหมือนกับพืชอื่นๆ มีสาร flavanoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

         การดื่มกาแฟจะลดอาการง่วงนอน และทำให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และลดอุบัติเหตุขณะขับขี่

         กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้าและคลายความวิตกกังวล

         การดื่มกาแฟเป็นประจำจะลดอุบัติการณ์การเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และยังลดอุบัติการณ์ของนิ่วในถุงน้ำดี

         มีหลักฐานพอจะเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อดื่มวันละ 4 แก้ว

กาแฟกันสุขภาพสตรี

         กาแฟกับการตั้งครรภ์ The Food Standards Agency ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐานยังไม่พบผลเสียดังกล่าว ประเทศอังกฤษได้แนะนำว่าการดื่มวันละ 3-4 แก้ว ขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย สำหรับผู้ที่ตั้งท้องหากงดได้ก็น่าจะงด

        การเป็นหมัน พบว่าหากดื่มกาแฟมากกว่า 1 แก้ว จะมีโอกาสเกิดการเป็นหมันเพิ่มขึ้น

กาแฟกับโรคกระดูกพรุน

         ยังมีรายงานทั้งสนับสนุนว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน บางรายงานก็กล่าวว่าไม่เกิดโรค ผู้ที่เกิดโรคกระดูกพรุนมักจะได้รับแคลเซียมไม่พอ แนะนำว่าควรจะดื่มนมเพิ่ม สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 แก้วขึ้นไป

กาแฟกับโรคมะเร็ง

         มีรายงานจาก World Cancer Research Fund ว่าการดื่มกาแฟปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง

         มีรายงานกล่าวว่าการดื่มกาแฟมีผลดีต่อการป้องกันมะเร็งตับอ่อนเล็กน้อย

         มีรายงานว่าการดื่มกาแฟอาจจะมีผลป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

กาแฟกับโรคหัวใจ

         เท่ามีรายงานขณะนี้พบว่าการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้ว ไม่มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจ

         การดื่มกาแฟเป็นประจำไม่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น การดื่มกาแฟครั้งแรกจะทำให้ความดันขึ้นชั่วคราว

กาแฟกับโรคเบาหวาน

         จากการศึกษาพบว่า การดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น 15 % กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมน epinephrine เพิ่มสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน

ประโยชน์-โทษกาแฟ



[ ภาพถูกย่อขนาด เนื่องจากภาพที่โพสมีขนาดใหญ่ คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดจริง ]
หากพูดถึงกาแฟ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเครื่องดื่มที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของหลายๆ คนในปัจจุบัน ด้วยความนิยมชมชอบที่แตกต่างกันไป ความนิยมในการดื่มกาแฟนี้ ทำให้เกิดร้านกาแฟขึ้นมากมาย ทั้ง Brand ใหญ่ เจ้าพ่อกาแฟอย่าง Starbuck หรือ True Coffee ไล่ลงมาถึงร้านเล็กๆ มากมายทั่วไป แม้กระทั่งบูธขายกาแฟตามข้างทางก็เป็นที่นิยมไม่แพ้กัน

จากสมัยก่อนที่น้ำชา และกาแฟ ถูกบรรจุอยู่ในบทเรียนวิชาเรียนประถม ในฐานะเครื่อมดื่มที่มี "คาเฟอีน" และมีฤทธิ์เป็นยาเสพติดอย่างอ่อนๆ ทำให้ความนิยมในการดื่มกาแฟ มีไม่มากนัก และอยู่ในวงของผู้ใหญ่ แต่ในปัจจุบัน ภาพลักษณ์ของกาแฟที่เป็นสิ่งเสพติดนั้น ได้ลางหายไป ด้วยกระแสนิยม และไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้น วัยรุ่นก็นิยมดื่มกันมากขึ้นเช่นกัน

กาแฟ มีประโยชน์ หรือโทษกันแน่ แล้วเราควรดื่มมากน้อยแค่ไหน?

มีนักวิทยาศาสตร์ ทำวิจัยเกี่ยวกับคุณค่าทางอาหารของกาแฟ และผลกระทบในการดื่มกาแฟกันอย่างมากมาย หลายสถาบัน บ้างก็ส่งเสริมกัน บ้างก็แย้งกัน ทำเอาผู้ที่นิยมดื่มกาแฟสับสนกันไปตามๆ กัน ว่า ตกลงควรดื่มไม๊เนี่ย

เอาเป็นว่าผมจะเอาข้อมูลทั้ง คุณ และ โทษ ของกาแฟที่เด่นๆ มาเสนอให้อ่านกันนะ

ประโยชน์ของกาแฟ
1. อร่อย! ไม่เคยมีบทความ หรืองานวิจัยไหนเขียนถึงประโยชน์ข้อนี้ของกาแฟกันเล้ย... (เก็บกดส่วนต้ว) ผมถือว่านี่คือประโยชน์อย่างหนึ่งของกาแฟ งั้นผมก็ขอเขียนหน่อยละกัน เพราะส่วนตัวของผม และส่วนตัวของหลายๆ คนชื่นชอบกาแฟ เพราะรถชาติที่หอมกรุ่นละมุนนุ่มลิ้น และรสชาติสาระพัดสาระเพอะไรก็ตามที่มันถูกใจเรา ทำให้เรารู้สึกมีความสุข และผ่อนคลายทุกครั้งที่ได้ดื่ม ยิ่งได้ดื่มในร้านที่นั่งสบาย พร้อม Wifi นะ โอ๊ย นั่งแช่เลยล่ะ... (ข้อนี้พอก่อนเนอะ เดี๋ยวจะยาว)
2. มีบทวิจัยหลายชิ้นบอกว่า กาแฟช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ถึง 25% (จริงดิ)
3. ช่วยลดคอเลสเตอรอล
4. ช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น ตื่นตัวอยู่เสมอ แก้ความอ่อนเพลียของกล้ามเนื้อ
5. ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ และมะเร็งในตับด้วยนะ
6. ช่วยลดอาการความดันโลหิตต่ำ
7. จริงๆ มีเยอะกว่านี้ ถ้าเอามาหมดเดี๋ยวจะอ่านกันเพลินหลับไปซะก่อน ยกไว้เท่านี้นะ มาดูข้อเสียกันบ้าง

โทษของกาแฟ
1. กาแฟทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น แน่นอนว่ามันไปกระตุ้นหัวใจ ทำให้สูบฉีดมากขึ้น ทำให้ความดันขึ้น ใครที่มีปัญหาความดันโลหิตสูง ไม่ควรดื่มกาแฟในขณะเครียด หรือกดดันจากการทำงานนะ
2. กาแฟทำให้การดูซึมแร่ธาตุ และแคลเซียมน้อยลง ทำให้เสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ใครที่อายุมากๆ แล้วมีการเสื่อมถอยของความหนาแน่นกระดูก ไม่ควรทานกาแฟมากๆ นะครับ
3. กาแฟจะช่วยเรียกน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมากกว่าปกติ ใครเป็นโรคกระเพาะ อย่าทานขณะท้องว่างนะ


กาแฟก็มีทั้งประโยชน์ และโทษ ไม่เฉพาะกาแฟนะครับ อาหารทุกอย่าง มีทั้งประโยชน์และโทษในตัวเอง ทานแต่พอดี รักษาสมดุลของร่างกาย เราก็จะมีความสุขกับการทานอาหร และสุขภาพแข็งแรงอีกด้วย

ขอบคุณ http://www.kluaynamthai.com/Module/webboard/view-topic.php?TopicNO=32

สูตรการชงกาแฟ


 การชงกาแฟสดให้รสชาติดี มีองค์ประกอบที่สำคัญคือ
  
-  เมล็ดกาแฟต้องเลือกที่คั่วใหม่ที่ดีที่สุดคือ วันที่ 2 หลังจากคั่วเสร็จและไม่เกิน 21 วัน
     นับจากวันที่คั่ว
  -  เครื่องชงกาแฟได้ มาตรฐาน แรงดันไม่น้อยกว่า 15 บาร์ ช๊อตชง
      กาแฟมีขนาดใหญ่ระดับมาตรฐาน
  -  น้ำที่ใช้ชงกาแฟต้องเป็นน้ำสะอาด ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส และไม่ใช่น้ำกะด้าง
  -  ต้องบดกาแฟใหม่ทุกครั้งที่ชงกาแฟ ไม่ควรใช้ผงกาแฟที่บดไว้แล้ว นานเกิน 3 ชั่วโมง

   กาแฟ เอสเพรสโซ่ ( ขนาดแก้ว : 2 ออนซ์ )
         ใช้ ผงกาแฟ 1 ช็อต (8 กรัม) ชง น้ำกาแฟให้ได้ระดับ 2/3 ของแก้ว
    เสริฟให้ลูกค้าเลือกเติมน้ำตาลหรือครีมเอง โดยปกติคนดื่ม กาแฟชนิดนี้จะไม่เติมอะไรเลย
    แต่ก็ควรมีน้ำตาลซองและครีมซอง เผื่อไว้ให้


   กาแฟลาเต้ 
( ขนาดแก้ว : 4 ออนซ์ )
         ใช้ ผงกาแฟ 1 ช็อต (8 กรัม) ชง น้ำกาแฟให้ได้ระดับ 1/3 ของแก้ว
    อุ่นนมร้อน แล้วจึงเทนมร้อน ลงแก้วให้ได้ระดับเกือบๆเต็มแก้ว
    เสริฟให้ลูกค้าเติมน้ำตาลหรือ ครีมเอง

   กาแฟม็อคค่า 
( ขนาดแก้ว : 4 ออนซ์ )
         ใช้ ผงกาแฟ 1 ช็อต (8 กรัม) ชง น้ำกาแฟให้ได้ระดับ 1/3 ของแก้ว แล้วเติมผงโกโก
   1 ช้อนชา อุ่นนมร้อน แล้วจึง เทนมร้อน ลงแก้วให้ได้ ระดับเกือบๆ เต็มแก้ว
    เสริฟให้ลูกค้าเติมน้ำตาลหรือ ครีมเอง


   กาแฟร้อนคาปูชิโน (ขนาดแก้ว : 4 ออนซ์)
           ก่อนชงต้องทำฟองนมให้ฟูได้ที่ก่อนแล้วจึงชงกาแฟ ใช้ ผงกาแฟ 1 ช็อต (8 กรัม)
    ชงน้ำกาแฟให้ได้ระดับ 1/3 ของแก้ว แล้วจึงเทนมร้อน ลงแก้วให้ได้ระดับ 2/3
    ของแก้วแล้วจึงใช้ช้อนตักฟองนมที่เหลือเติมให้ เต็มแก้ว ให้พูนเล็กน้อย
     เสริฟให้ลูกค้าเลือกเติมน้ำตาลเองเมนูนี้ ควรเตรียม ผงอบเชยป่น(ชินาม่อน)
     หรือผงโกโก้ให้ลูกค้าเผื่อต้องการ โรยหน้าเพื่อเพิ่มความหอมด้วย


         โกโก้ร้อน 
            ขนาดแก้ว : 4 ออนซ์
            ตักผงโกโก้ 1 ช้อนชา เติมน้ำร้อนให้ได้ระดับ 1/4ของแก้ว
            เติมนมร้อนให้ได้ระดับ 3/4ของแก้ว เสริฟให้ลูกค้าเลือกเติมน้ำตาลหรือครีมเอง

     ชาร้อน        ขนาดแก้ว : 4 ออนซ์
       ชา 1 ซอง กดน้ำใส่ให้ได้ระดับ 3/4 ของแก้ว
       เสริฟให้ลูกค้าเลือกเติมน้ำตาลหรือครีมเอง
     กาแฟร้อนอเมริกาโน 
       ขนาดแก้ว : 4 ออนซ์
       ใช้ ผง กาแฟ 1ช็อต (8กรัม) ชง น้ำกาแฟให้ได้ระดับเกือบเต็มแก้ว
        เสริฟให้ลูกค้าเลือกเติมน้ำตาลหรือครีมเอง
         

ขอขอบคุณhttp://student.nu.ac.th/phung/coffee82.html                                                                                                                 

น้ำส้มสายชูหมัก



เคยได้ยิน ได้อ่านมาหลายปีแล้วว่า น้ำส้มสายชูที่หมักจากแอปเปิ้ลมีประโยชน์มากมาย สามารถบรรเทาอาการของโรคต่าง ๆ ที่เป็นโรคเรื้อรังได้มากมาย เคยเห็นคุณแม่สั่ง
น้องชายซื้อมาจากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งจากจังหวัดเชียงใหม่ หลังจากได้รับคำแนะนำจากเพื่อน แต่ด้วยวิธีทานที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นไปได้ คุณแม่ก็เลิกทานปล่อย
ทิ้งเอาไว้ ส่วนผมตามประสาคนที่เจ็บปวดด้วยปัญหาหินปูนพอกกระดูกแล้วไปเบียดเส้นประสาทที่ต้นคอ จนเปนเหตุให้มีอาการปวดไหล่ มือ นิ้วชา จนพูดได้ว่า อยู่กับความ
เจ็บปวดเหล่านี้มาจนเปนส่วนหนึ่งของชีวิต ก็ย่อมที่จะสนใจ อะไรที่จะมาบรรเทาอาการเจ็บปวดเหล่านี้ โดยที่จะไม่ต้องไป "เจี๋ยน" เพราะนั่นขอเปนทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น

เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสคุยกะญาติธรรมท่านหนึ่ง ซึ่งเปนสามีของสมาชิกเวบเรานี่เอง ท่านได้บอกว่า ท่านทานไข่ดอง ปัญหาคอเรสเตอรอล ของท่านลดลง
ปัญหาเกี่ยวกับทางเดินปัสวะท่านก้อดีขึ้น เราก็หูผึ่ง ท่านบอกว่า ไปเสิร์จหาในเน็ท บอกว่าไข่ดอง แค่นั้นแหละ เพียบบ ผมก็เริ่มค้น ก็พบว่า ไม่ยาก แค่น้ำส้มสายชูหมัก ไข่
ใหม่ ๆ เบอร์ 3-4 อะไร ๆ เราก็มีพร้อมแล้ว แค่นี้ลองไปก็ไม่เสียหลาย เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาจึงไปหาซื้อน้ำส้มสายชูหมัก ก็ไปเจอเอา Raw unfiltered Apple cider
vinegar หรือ น้ำสัมสายชูหมักจากแอปเปิ้ล ชนิดไม่กรอง มาสองขวด สนนราคา ก็ประมาณ ซีซีละ 0.5 บาท ขวดครึ่งลิตร ปาเข้าไปเกือบ 250 บาท โอย ราคาช่างเทพ
อะไรขนาดนี้ อีกยี่ห้อ กรองมาใสแจ๋ว 180 มีปริมาตร น้อยกว่าเล็กน้อย สรุปคือ ราคาพอ ๆ กันแหละ แพงจิ๊บเป๋ง

มาถึงบ้าน จัดแจงเตรียมดองไข่ พอรินน้ำส้มใส่ไข่แค่นั้นแหละ กลิ่นของน้ำส้ม สีของน้ำส้ม มันทำให้ผมนึกถึงน้ำหมักที่กำลังเปนที่นิยมกันตอนนี้ นั่นคือ Aunty Cheng's
Magic ferment water เรื่องรสชาติ ไม่ต้องสงสัย น้ำส้มสายชู ยังไงเราก็นึกรสชาติออก แต่รสของ Aunty Cheng's Magic ferment water นี่สิมันใช่หรือเปล่า
จึงไปขอแบ่งจาก บิดาเนตร ซึ่งได้หมักเอาไว้กว่าสิบถังมาทดสอบ ผลก็คือ ใช่ครับ มันคือสิ่งเดียวกัน ..... มหากาพย์เรื่องยาวก็จึงบังเกิดขึ้น ณ จุดนั้นตำนานน้ำส้มสายชู(หมัก) โดย หมอชาติ พชรไพฑูรย์ 

การทำน้ำสมสายชูหมัก  คนโบราณในภาคพื้นเอเชียทำกินกันมานานมากแล้ว 
ในสมัยพุทธกาลได้นำเอาน้ำส้มสายชูหมักมาทำเป็นน้ำกระสายยา  เพื่อเพิ่มสรรพคุณทางยาทำให้ยามีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในตำรายาของท่านอาจารย์ชีวก โกมารภัจ เรียกมันว่า สุรามฤต (คือกระบวนการหมักคลายการหมักเหล้าแต่ไม่มีแอลกอฮอล์ มีสรรพคุณในการรักษาโรคที่มีเชื้อร้ายแรงหลายชนิดโดยไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์และสัตว์)โดยมากจะเข้ายาที่รักษาโรคเรื้อน มะเร็ง ฝีภายในต่างๆ โรคโลหิตสตรี โลหิตทุจริตโทษ         

ในสมัยที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กๆอยู่ การหมักน้ำส้มสายชูทำกินทำใช้กันเองในครัวเรือนทั่วไป บางบ้านทำไว้มากๆ ก็นำมาใส่ขวด (ขวดน้ำปลา) แบ่งขายให้เพื่อนบ้านที่ทำไม่เป็น หรือ ไม่ได้ทำไว้กิน สนนราคาตอนนั้นก็ประมาณขวดละ ๗๕ สตางค์  ไม่ว่าน้ำปลา ซีอิ้ว น้ำส้ม เต้าเจี้ยว กระเทียมดอง ล้วนแล้วแต่ทำกินกันตามบ้าน ตามชุมชนทั่วไป ต่างสูตร ต่างรสชาติกันไป แต่ที่ไม่ต่างกันคือความปลอดภัย และวัฒนธรรมที่สวยสดงดงามไร้สารเคมี บริสุทธิ์ไร้สีสันแต่งแต้ม

จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง มีบริษัทยักษ์ใหญ่บริษัทหนึ่งผลิตน้ำส้มสายชูกลั่น 5 % จากกรดส้ม(Acetic acid) ออกวางจำหน่ายในท้องตลาดทั่วประเทศ แล้วก็มีประกาศ จาก กระทรวงสาธารณสุข (ในสมัยนั้น) ว่าน้ำส้มสายชูหมัก เป็นน้ำส้มสายชูเทียม ไม่สะอาด ไม่ปลอดภัยเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ห้ามมิให้มีการผลิตเพื่อบริโภคไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม

ใกล้ๆบ้านของผู้เขียนมีครอบครัวชาวจีนครอบครัวหนึ่งเปิดร้านค้าขายสินค้าเบ็ดเลต (ร้านชำ)หัวหน้าครอบครัวชื่อเส็ง ชาวบ้านย่านนี้รู้จักเจ๊กเส็งดีทุกคน จากความขยันขันแข็งและน้ำใจอันโอบอ้อมอารีร้านของเจ๊กเส็งขายตั่งแต่สากเบือยันเรือป๊อกกันเลยทีเดียวเชียว(เรือป๊อกของเล่นเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดในสมัยนั้น)เจ๊กเส็งจะรับซื้อสินค้าจากชาวบ้านทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ กุ้ง หอย ปู ปลา เครื่องจักรสาร งานต่างๆที่ชาวบ้านทำ ขนมข้าวต้มนำมาขายในร้านของแก หากขายไม่หมดหรือมีของที่รับซื้อมากเกินไปก็จะนำมาแปรรูปขาย เช่น ปลาถ้ามีมากก็ทำปลาเค็มบ้าง หมักน้ำปลาบ้าง ผักทำเป็นผักดอง กุ้งฝอยนำมาทำกุ้งแห้งหรือกะปิ เป็นต้น บ้านร้านค้าของเจ๊กเส็งอยู่ติดริมคลองมหาสวัสดิ์ฝั่งตรงข้ามเป็นท่าเรือของสถานีรถไฟฉิมพลีจึงเป็นแหล่งรวมผู้คนผ่านไปผ่านมามากมายนับว่าเป็นย่านเศรษฐกิจชุมชนเลยทีเดียวเชียว คนที่จะต้องเข้ากรุงเทพจะต้องมาลงเรือหางยาวสาย ประตูน้ำ – ท่าช้าง หรือมาข้ามฟากไปขึ้นรถไปสถานีฉิมพลี สาย บางกอกน้อย – สายใต้ที่นี่  สมัยที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กๆชุมชนย่านนี้จะมีทีวีที่บ้านของเจ๊กเส็งเครื่องเดียว ผู้คนบ้านใกล้เรือนเคียงโดยเฉพาะวันเสาร์หรืออาทิตย์เด็กๆจะมานั่งดูทีวีที่บ้านเจ๊กเส็งกันทั้งวัน ที่หลังบ้านของเจ๊กเส็งจะเป็นโรงเรือนขนาดใหญ่ ใช้สำหรับหมักน้ำปลาทำกะปิหมักน้ำส้มสายชูและดองผักดองผลไม้และอีกทั้งยังเป็นที่ใช้แปรรูปสิ้นค้าต่างๆอีกด้วย โดยมีลูกบ้างหลานบ้างพี่ๆน้องๆของเจ๊กเส็งจะอยู่รวมทำธุรกิจกันที่นี้เรียกว่าธุรกิจในครัวเรือนก็ว่าได้เวลาเดินผ่านโรงเรือนของเจ๊กเส็งจะได้กลิ่นหอมของน้ำปลาที่กำลังต้มให้สุกหอมกรุ่นน้ำปลาแท้กลิ่นอบอวนชวนหิวข้าวยิ่งนักหลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขมีประกาศห้ามผลิตน้ำส้มสายชูหมัก ไม่นานเจ้าหน้าที่ อ.ย.ก็นำกำลังตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านของเจ๊งเส็ง เจ๊กเส็งถูกจับข้อหา ผลิต/จำหน่าย น้ำปลาและน้ำส้มสายชูปลอมโดยไม่ได้รับอนุญาต ร้านเจ๊กเส็งถูกปิด เพื่อตรวจสอบและปรับปรุงให้ถูกสุขลักษณะ เจ๊กเส็งต้องปิดร้านนับสิบวันกว่าจะเปิดกิจการได้ ก็เล่นเอาชุมชนเงียบเหงาไปเลยทีเดียวเชียว 

จะเล่าเรื่องน้ำส้มสายชูคุยเลยเถิดไปยืดยาว  คือเจ้าน้ำส้มสายชูหรือสุรามฤตแล้วแต่จะเรียกมีลักษณะเป็นกรดส้มเปรี้ยวจัด เชื้อโรคต่างๆ   เช่น   แบคทีเรีย    อีคอไลย์ หรือ ไวรัส ไม่สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาวะที่เป็นกรดจึงทำให้น้ำส้มสายชูฆ่าเชื้อโรคได้ ความเป็นกรดของน้ำส้มสายชูยังมีสรรพคุณในด้านการสลายไขมันได้ดีจึงเหมาะกับการกินเพื่อลดไขมันหรือชำระเมือกมันในลำไส้ได้ในสมัยพุทธการนั้นใช้ ผลสมอหรือผลมะขามป้อมดองในน้ำมูตรเน่า (น้ำปัสสาวะที่ตากแดดไว้จนใส) หมักจนผลสมอหรือผลมะขามป้อมนั้นเปื่อย น้ำจะใสมีรสเปรี้ยวจัดกรองเอาแต่น้ำใสมารับประทานแก้สรรพโรคทั้งปวง พระพุทธองค์ทรงตัดว่า “ผลสมอดองน้ำมูตรนั้นแก้กรรมฐานอันหย่อนให้จำเริญขึ้น”(โรคขี้เกียจ)คนไทยโบราณหมักน้ำส้มสายชูจากผลไม้เปรี้ยวที่เหลือจากการรับประทาน คือกินไม่หมดหรือกินไม่ได้เช่น เปลือกลูกสับปะรด ที่ปอกออกจะนำมาใส่ไหหมักหรือผลมะยมที่กินไม่หมด ผลมะเฟือง(มะเฟืองโบราณเปรี้ยวมากไม่นิยมบริโภค) 

วิธีทำน้ำส้มสายชูหมักก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรนักเพียงแต่ต้องใช้ความละเอียดและใจเย็น รอ ๆ รอแล้วก็รอ  ในระหว่างที่รอก็ใช่ว่าจะ รอแบบทิ้งๆขว้างๆได้ ต้องคอยเฝ้าดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรเกิดขึ้นบ้าง ดีหรือเสีย จะขึ้นอยู่กับประสบการณ์การทำเป็นหลัก แม้นแต่สัดส่วนของวัตถุดิบในการหมักก็อาศัยประสบการณ์ กะกะเอาไอ้นู้นนิดไอ้นี่หน่อยไปตามเรือง แต่ว่าผู้เขียนจะให้สัดส่วนแบบคร่าวๆหากใครคิดลองทำ ทำแล้วก็ปรับแต่งเอา  

        อันดับแรกคือต้องมีผลไม้สดแก่จัดจนถึงสุก  (ไม่เน่าเสีย)

๑ ใช้ผลไม้เปรี้ยวประมาณ ๓ กิโลกรัม

๒ งบน้ำอ้อยหรือน้ำตาลดิบหรือน้ำตาลทรายแดงก็ได้แต่ต้องเป็นน้ำตาลที่ไม่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี

     หนักประมาณ ๑ กิโลกรัม

๓ น้ำสะอาดที่คิดว่าสะอาดจริงๆประมาน ๑๐ ลิตร

วิธีทำ  ละลายน้ำตาลหรืองบน้ำอ้อยในน้ำสะอาดจนละลายดีแล้ว หั่นผลไม้ให้เป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงในภาชนะที่จะใช้หมักนิยมใช้โอ่งเคลือบ (ห้ามใช้ภาชนะที่เป็นโลหะเด็ดขาดหรือภาชนะที่เป็นพลาสติกเกรดต่ำ) อาจใช้พลาสติกที่เป็นภาชนะสำหรับใส่อาหารได้ เติมน้ำที่ละลายน้ำตาลไว้ลงในภาชนะหมักปิดฝาให้สนิทอย่าให้มีแมลงลงได้ ๓ – ๔ ให้มาเปิดดู ๑ ครั้ง หากมีฝ้าขาวๆขึ้นให้คนให้ฝ้าแตกทำดังนี้เสมอ หากเปิดดูแล้วเจอราสีเขียวหรือดำแสดงว่าเสียแล้ว เททิ้งครับ การเฝ้าดูแลนี้กระทำไปจนกว่าผลไม้จะย่อยจนเละและจมลงก้นถัง น้ำในถังใสมีรสเปรี้ยวจัด(ปัจจุบันมีเครื่องตรวจค่า PH หากตรวจแล้วค่าPH ต่ำกว่า ๓ เป็นอันว่าใช้ได้) กรองเอาแต่น้ำใสมาใช้ ใช้ปรุงอาหารให้มีรสเปรี้ยว หรือผสมน้ำดื่มหลังอาหารจะช่วยให้อาหารย่อยได้ดีป้องกันโรคอ้วนและไขมันในเม็ดเลือด ใช้ผสมน้ำล้างผัก/ผลไม้ ใช้หมักเนื้อสัตว์ที่มันจัดจะช่วยเปลี่ยนไขมันเลวให้เป็นไขมันดีได้ และยังทำให้เนื้อสัตว์รสชาติดีขึ้นด้วยใช้ผสมน้ำล้างถ้วยชามหรือผสมน้ำแช่เท้า แก้น้ำกัดเท้าแก้เท้าเน่าเท้าเหม็นได้อีกด้วยสิ่งดีๆเป็นประโยชน์มากมาย มรดกที่ปู่ย่าตายายทิ้งไว้ให้แต่คนไทยกับหลงลืมผู้เขียนขอเป็นส่วนหนึ่งครับที่จะขอรักษาสิ่งดีๆของบรรพบุรุษ  นี้เอาไว้เท่าชีวิตของผู้เขียน หรือที่สุดของชีวิต ให้สิ่งดีๆเหล่านี้อยู่ตราบนานเท่านาน  

ที่มา http://wizardxxx.exteen.com/20111012/entry

เคล็ดลับปรุงกาแฟแคลอรีต่ำ



กาแฟลาเต้ ถ้วยขนาดใหญ่ถ้วยหนึ่งอาจให้พลังงานมากถึง 250-570 แคลอรี ซึ่งหากใครที่ดื่มกาแฟวันละหลายๆ ถ้วย โดยไม่คำนึงถึงแคลอรีเหล่านี้ คุณก็คงจะต้องรับแคลอรีจำนวนไม่น้อยเลย ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพแน่ๆ ระหว่างวันของการทำงานที่รีบเร่ง กาแฟ ได้กลายเป็นเครื่องดื่มเคียงข้างโต๊ะทำงานของหลายคน ซึ่งบางคนนิยมดื่มกาแฟแทนน้ำเปล่าก็ว่าได้ นับๆ ดูแล้วในแต่ละวันบางคนอาจดื่มมากถึงวันละ 3-4 ถ้วยทีเดียว ซึ่งผลที่ตามมาก็อาจทำให้คุณได้รับคาเฟอีนจากกาแฟเข้าไปเกินพิกัดได้ ไม่ เพียงแต่ได้รับคาเฟอีนมากเกินไปแล้ว กาแฟแต่ละถ้วยที่คุณชงดื่มนั้นยังอาจให้พลังงานสูงเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะหากคุณเป็นคนที่ติดใจรสชาติหวานมันหอมหวนของกาแฟที่ผสมทั้งนม ครีม และน้ำตาล ไม่ว่าจะเป็นกาแฟไทยใส่นมข้นที่ขายตามรถเข็นข้างทาง กาแฟภาพลักษณ์หรูหราอย่างคาปูชิโน (cappuccino) ที่อุดมด้วยครีมลอยฟ่อง หรือบางคนนิยมกาแฟผสมนมสด ที่เรียกกันว่า ลาเต้ (latte) แต่ละแบบ แต่ละรสชาติ ก็จะให้พลังงานตามส่วนผสมที่ปรุงเข้าด้วยกัน เคล็ดลับปรุงกาแฟแคลอรีต่ำ ใน Mayo Clinic Womens HealthSource ได้ยกตัวอย่าง เขาจึงได้แนะเคล็ดลับการดื่มกาแฟเพื่อสุขภาพ ดังนี้ * หาก ในแต่ละวันคุณต้องดื่มกาแฟวันละหลายๆ ถ้วย ก็ควรเลือกถ้วยที่มีขนาดเล็กสักหน่อย ซึ่งการใช้ถ้วยกาแฟขนาด 8 ออนซ์ หรือ 12 ออนซ์ แทน mug ถ้วยโตๆ จะช่วยให้สามารถลดพลังงานได้ถึง 110 แคลอรีต่อครั้งเลยทีเดียว * การเติมความหอมมันให้กับกาแฟ ด้วยนมสดชนิดพร่องไขมัน (low fat / fat free milk) แทนนมข้น หรือนมสดแบบธรรมดา จะช่วยลดปริมาณพลังงานได้อีกประมาณ 80 แคลอรี และลดไขมันได้ประมาณ 8 กรัมต่อถ้วย * ใช้สารให้ความหวานแทน การใช้น้ำตาล เพราะถ้าคุณดื่มกาแฟ 5 ถ้วยต่อวัน และใส่น้ำตาล 2 ช้อนในแต่ละถ้วย นั้นเท่ากับว่าคุณจะได้รับแคลอรีเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 150 แคลอรีต่อวัน * ควรหลีกเลี่ยงที่จะเพิ่ม วิปครีม ช็อกโกแลต น้ำเชื่อม หรือของหวานใดๆ ก็ตามลงในกาแฟของคุณ เพราะสิ่งเหล่านี้มันประกอบไปด้วยแคลอรีจำนวนมากที่จะทำให้คุณอ้วนได้ ลอง นำเคล็ดลับง่ายๆ เหล่านี้ไปใช้ในกาแฟถ้วยโปรดของคุณ อาจช่วยลดปริมาณแคลอรีที่จะสะสมในร่างกายได้ไม่น้อยเลยค่ะ 

ที่ มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today